Translate

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วัยทองอย่างมีคุณภาพ

                                                                                    


           มักจะเป็นคำเรียกผู้ที่ก้าวเข้าสู่ช่วงของชีวิตจากวัยผู้ใหญ่ ไปเป็นผู้สูงอายุ โดยทั่ว ๆ ไปวัยทองจะเริ่มขึ้นเมื่อคนเรามีอายุ 40 ปี ขึ้นไป หลาย ๆ คนไม่อยากจะก้าวเข้าสู่ช่วงของวัยทอง เพราะได้ยินได้ฟังมาว่า คนในวัยนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและอารมณ์ เกิดความหงุดหงิด ไม่สบายเนื้อสบายตัว จนทำให้คนรอบข้างต้องได้รับผลกระทบไปด้วยแต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงวัยทองได้ แต่เราก็สามารถที่จะอยู่ได้อย่างสุขสบายในวัยทอง ถ้ามีการปฏิบัติตัวและดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และถูกต้อง
ประจำเดือน โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะอยู่ในช่วงระหว่างอายุ 40-45 ปี และจะเกิดขึ้นกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ผู้หญิงจะกลัวและวิตกกังวลกับการก้าวเข้าสู่วัยทองมากกว่า เพราะจะได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมา เช่น เข้าวัยทองแล้วจะเร็ว ผิวพรรณจะหมองคล้ำ ไม่เต็งตึง พฤติกรรม อารมณ์เปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังมีโรคร้ายต่าง ๆ เข้ามารุมเร้า ซึ่งสิ่งที่ได้ยินต่อ ๆ กันมานี้ มีทั้งจริงและไม่จริง กรณีที่บางอย่างเป็นจริง ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นกับวัยทองทุก ๆ คน 
การเปลี่ยนแปลง
ใน ระยะแรก ๆ ที่คนเราจะเข้าสู่วัยทอง จะมีอาการต่าง ๆ ที่สามารถสังเกตุเห็นได้ชัด เช่น มีอาการหงุดหงิดง่าย นอนไม่ค่อยหลับ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกผิดปกติทั้ง ๆ ที่อากาศไม่ร้อน นอกจากนี้บางคนจะหลงลืมง่าย ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพต่ำลง ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงอายุนั้น แต่บางคนก็เข้าสู่วัยทองโดยไม่มีอาการต่าง ๆ เหล่านี้เลย แต่พบน้อย
สำหรับสิ่งที่เราพบได้บ่อยในความเปลี่ยนแปลงของหญิงวัยทองก็คือ ความเปลี่ยนแปลงของรอบประจำเดือน โดยจะแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ
  • ช่วงแรก
  • ช่วงที่ 2อายุประมาณ 45-50 ปี ระยะนี้ประจำเดือนจะเริ่มห่าง เช่นว่าบางคนเดือนครึ่งมาทีหนึ่ง บางคนอาจเป็น 2 เดือน 3 เดือน มาครั้งหนึ่ง
  • ช่วงที่ 3เป็นช่วงที่หมดประจำเดือนจริง ๆ อายุประมาณ 50 ปี ขึ้นไป ประจำเดือนจะหายไปเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเราจะตัดสินว่าคน ๆ นั้นหมดประจำเดือนแล้วจริง ๆ ก็ต่อเมื่อประจำเดือนหายไปครบ 12 เดือน หรือ 1 ปี 
ปัญหาทางร่างกายที่จะเกิดกับวัยทองจะมี 2 ระยะด้วยกันคือ
  • ผลระยะสั้น
    เริ่ม ตั้งแต่ช่วงก้าวเข้าสู่วัยทอง จนกระทั่งหมดประจำเดือนไปแล้ว ช่วงนี้จะมีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมากผิดปกติ มักเป็นตอนกลางคืน อ่อนเพลีย เหนื่อยหน่าย หงุดหงิดง่าย ขี้กังวล นอนไม่หลับ หลงลืม
  • ผลระยะยาว
    จะมี 3 ระบบ ใหญ่ ๆ คือ เกี่ยวกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์และทางเดินปัสสาวะ โดยบางคนเมื่อหมดประจำเดือนไปนานแล้ว จะพบอาการต่าง ๆ เช่น ช่องคลอดแห้ง เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ ปัสสาวะขัด อีกระบบหนึ่งเป็นระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยจะมีความเสี่ยงเพิ่มที่จะเป็นโรคดังกล่าว และระบบที่ 3 เกี่ยวกับภาวะกระดูกบาง หรือกระดูกพรุนจะพบบ่อยกับผู้ที่หมดประจำเดือนแล้ว 5 ปีขึ้นไป
การป้องกัน
เราควรได้รับประทานแคลเซียม ตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยการรับประทานแคลเซียมนี้ เป็นเหมือนกับการฝากธนาคารไว้ก่อน เพราะเมื่อคนเราอายุ 35 ปีแล้ว แคลเซียมในกระดูกจะเริ่มลดต่ำลง ถ้าเราฝากไว้เยอะ เวลาแคลเซียมลดลงก็จะเหลือต้นทุนไว้เยอะ นอกจากนี้ พยายาม ดูแลตัวเองอย่าให้เป็นเบาหวาน ความดันสูง ด้วยการพยายามลดอาหารไขมันสูง ลดความอ้วน หรือถ้าใครเป็นโรคนี้อยู่ก็พยายามปรึกษาแพทย์สม่ำเสมอเพื่อลดปัญหาลง

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พบสถิติหญิงไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปากมดลูกลันละ 14 ราย

              สาเหตุเกิดจาก เชื้อไวรัสตัวหนึ่งที่ชื่อว่า HPV(Human Papilloma Virus) ภาษาไทยเรียกกันว่า ไวรัสหูด  ไวรัสชนิดนี้ติดต่อจากการสัมผัส ส่วนใหญ่เป็นการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์ที่ทำให้มีรอยถลอกของผิว หรือเยื่อบุ และเชื้อไวรัสจะเข้าไปที่ปากมดลูก ทำให้ปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อหรือเซลล์ จากปากมดลูกปกติกลายเป็นระยะก่อนเป็น มะเร็งปากมดลูก นอกจากนี้แล้วการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงก็อาจทำให้โอกาสเกิดโรคได้มากขึ้น


ปัจจัยเสี่ยง มะเร็งปากมดลูกได้แก่
  • การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
  • การมีคู่นอนหลายคน หรือฝ่ายชายที่เราร่วมหลับนอนมีคู่นอนหลายคน
  • การคลอดบุตรจำนวนหลายคน
  • การสูบบุหรี่
  • การมีภาวะคุ้มกันต่ำ โดยเฉพาะเป็นโรคเอดส์
  • การสูบบุหรี่
  • พันธุกรรม
  • การขาดสารอาหารบางชนิด
  • ที่อาจทำให้ผู้หญิงเป็น มะเร็งปากมดลูก
  • ผู้ชายที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
  • ผู้หญิงที่มีสามีเป็นมะเร็งองคชาติ
  • ผู้หญิงที่มีสามีเคยมีภรรยาเป็น มะเร็งปากมดลูก
  • ผู้ชายที่มีคู่นอนหลายคน


อาการที่พบในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก
               อาการระยะแรกที่เป็นอาจไม่แสดงอาการจะพบได้จากการตรวจภายในหาความผิดปกติของปากมดลูก อาการที่แสดงให้เห็นได้แก่ เลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน มีตกขาวผิดปกติ กลิ่นเหม็น มีเลือดปน หรือมีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์ ถ้าเป็นมากและมะเร็งลุกลามออกไปด้านข้าง หรือลุกลามไปที่อุ้งเชิงกรานก็จะมีอาการปวดหลังได้ เพราะไปกดทับเส้นประสาท

การป้องกันมะเร็งปากมดลูก

              หลายๆคนคงเคยได้ยินเรื่องการรณรงค์ฉีดวัคซีนโรค มะเร็งปากมดลูก ความจริงแล้ว ระดับการป้องกันโรค มะเร็งปากมดลูก มีหลายระดับ โดยระดับแรกของการป้องกันคือ การฉีดวัคซีน ที่เชื่อว่าลดความเสี่ยงได้ประมาณ 70% นอกจากนี้การป้องกันขั้นพื้นฐานด้วยการตรวจแพปสเมียร์เป็นประจำก็เป็นเรื่องสำคัญ เด็กและหญิงสาวที่อายุต่ำกว่า 26 ปีซึ่งไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน สามารถรับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อHPV ส่วนหญิงสาวที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว ควรคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก หรือแพปสเมียร์เสียก่อน เพราะเป็นไปได้ว่าอาจพบเชื้อ หรือมีความผิดปกติ ซึ่งจะต้องทำการรักษาให้หายเสียก่อน จึงจะรับการฉีดวัคซีนได้ในเวลาต่อมา ส่วนวัยที่ควรเริ่มฉีดวัคซีนชนิดนี้คือ 9 ปีขึ้นไป และการใช้วัคซีนในผู้หญิงวัย 9-26ปี จะป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2008



             รับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2008  โดย MOODY INTERNATIONALCertification  
Scope : PROVISION OF  HEALTHCARE SERVICES.ผ่านการรับรองมาตรฐาน ด้านสุขลักษณะที่ดีของครัวผลิตอาหารสำหรับคนหมู่มาก จากสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมและ Intertek  โครงการสร้างความเชื่อมั่นอาหารไทยปลอดภัยมีคุณภาพ ( Eat Safe Eat Smart )Certification Scope : THE CATERING OF PRECOOKED AND COOKED FOOD AT NUTRITION DEPARTMENTผ่านการรับรองจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รางวัลสถานประกอบการ ที่ปฏิบัติตามมาตรการ ในการรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมีการจัดการสิ่งแวดล้อมดีเด่น ( EIA  Monitoring Award ) ประเภทรางวัลดีเด่น 2 ครั้งติดต่อกันในปี พ.ศ. 2552 และปี 2554โดยเป็นโรงพยาบาลเพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัลนี้      คณะผู้บริหาร แพทย์ และบุคลากรของโรงพยาบาลเอกชัย มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันยกระดับคุณภาพการบริการ และคุณภาพทางการแพทย์เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชัยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ ที่มีระบบคุณภาพที่ดี แห่งหนึ่งในประเทศไทย และพร้อมให้คุณภาพชีวิตที่ดีในด้านการรักษาพยาบาลแก่คนไทยและคนต่างชาติ






บริการทางการแพทย์


ศูนย์อายุรกรรม

ให้บริการด้านการแพทย์หลากหลายสาขาทั้งทางด้านหู คอ จมูก และภูมิแพ้, โรคหัวใจ, โรคทางสมอง, โรคไต และระบบทางเดินปัสสาวะ, โรคต่อมไร้ท่อและ เบาหวาน, โรคทางโลหิตวิทยา, โรคทางเดินอาหารและตับ และทางจิตเวช โดยแพทย์เฉพาะทางแต่ละสาขา
General Medicine Clinic
The Medical Clinic at Ekachai Hospital provides a complete range of physicians of all specialties such as: Endocrinology, Hematology, Nutrition, Neurology ,Nephrology and internal Medicine.

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บริกา่รทางการแพทย์ (3)








ศูนย์ตรวจสุขภาพเคลื่อนที่  
ให้บริการตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจสุขภาพเฉพาะด้าน บริการฉีดวัคซีนเป็นหมู่คณะในหน่วยงานต่างๆ พร้อมด้วยทีมงานด้านอาชีวอนามัยที่มีประสบการณ์

Mobile Check up Center

We focus on employee screening services including physical check up, drug tests, DOT exam, vaccination and employment related to tests.



แผนกกายภาพบำบัด 
ดูแลและฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย พร้อมทั้งบำบัดอาการป่วย ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัด และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู

Physical Therapy Center
We provide a full range of services to help patients prevent injury and disease, recover function and strength, and reducepain. Expert staff uses modern technology  to treat patients of various ages and physical nditions.




ศูนย์ผิวหนังและความงาม
  เพื่อการดูแลอย่างเข้าใจในสุขภาพของผิวพรรณ ทางศูนย์จึงจัดเตรียมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวพรรณ แพทย์ด้านการฝังเข็ม และเจ้าหน้าที่ดูแลผิวพรรณ พร้อมกระบวนการเพื่อการดูแลความงามอย่างหลากหลาย เช่นMesotherapy, Botox filler, Cyro, IPL, Laser, Fractoraลดรอยหลุมสิว เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการดูแลอย่างครบถ้วน

Aesthetic & Skin Center 
At Aesthetic & Skin Center, we offer only the finest and most advanced products to ensure that you will get the best possible results.



ศูนย์ตรวจสุขภาพก่อนเข้างาน 
ให้บริการเฉพาะการตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงาน ที่มีรายการแตกต่างกัน แต่ละบริษัท เพื่อประเมินภาวะสุขภาพ และ ความพร้อมก่อนเข้าปฏิบัติงาน รวมถึงการส่งผลโดยตรงกับบริษัท

Pre-Employment Check Up
 Pre-employment Check Up is beneficial in helping to screenand select the best applicant for jobs at the employer various requirement. We give you effective, reliable and valid resultsto our valued companies.







วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ดาวน์ซินโดรม ( Down syndrome )

เด็กปัญญาอ่อนหรือเด็กกลุ่มอาการดาวน์ เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่พบบ่อยที่สุด การที่เราเรียกเด็กที่มีปัญญาอ่อนในอีกชื่อหนึ่งว่า เด็กกลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome) หรือ ดาวน์ซินโดรม 




เด็กกลุ่มอาการดาวน์มีลักษณะอย่างไร ?
         เด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีใบหน้าและรูปร่างลักษณะที่จำเพาะ ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยโดยแพทย์ และพยาบาลได้ตั้งแต่แรกเกิด ลักษณะโดยทั่วไปของเด็กกลุ่มอาการดาวน์จะมีศีรษะค่อนข้างเล็ก แบน ตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นมักยื่นออกมาและมีลักษณะคับปาก มือสั้น ขาสั้น ตัวเตี้ย มักมีโรคหัวใจพิการ หรือโรคลำไส้อุดตันตั้งแต่แรกเกิด มีลักษณะตัวที่ค่อนข้างนิ่ม หรืออ่อนปวกเปียก มีพัฒนาการที่ล่าช้า ของการนั่ง ยืน เดิน และการพูด ซึ่ง เด็กกลุ่มนี้จะมีในหน้าที่คล้ายคลึงกันไม่ว่าจะเกิดมาจากแม่คนไหนก็ตาม และจะแตกต่างจากพี่น้องท้องเดียวกันที่ปกติ
แล้วเรา.จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกในครรภ์มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็น ดาวน์ซินโคดรมเด็กกลุ่มอาการดาวน์มีลักษณะอย่างไร ?     
ความผิดปกติของโครโมโซม
นับว่าเป็นความผิดปกติที่พบบ่อยมากที่สุด ซึ่งยิ่งมารดามีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงต่อความผิดปกติก็มีมากขึ้นเท่านั้น ควรได้รับคำแนะนำหรือปรึกษาทางพันธุศาสตร์ ได้แก่
       ▪ มารดาที่มีอายุมากกว่า 35 ปี นับจนถึงวันครบกำหนดคลอด
       ▪ เคยให้กำเนิดทารกที่มีความผิดปกติของโครโมโซม หรือมีความพิการแต่กำเนิด
       ▪ มีประวัติโรคทางพันธุกรรมที่เกี่ยวกับความผิดปกติของโครโมโซมในครอบครัว 
       ▪ บิดา หรือมารดา มีประวัติ หรือตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซ 
       ▪ มีความผิดปกติของทารกในครรภ์ ที่ได้จาการตรวจอัลตราซาวนด์
     ▪ ผลการตรวจคัดกรองจากสารเคมีในเลือดมารดามีความผิดปกติ 
การตรวจอัลตราซาวนด์
 เป็นการตรวจคัดกรอง เพื่อดูโครงสร้างและความผิดปกติใหญ่ๆ ที่อาจสามารถมองเห็นได้ ทารกในครรภ์ที่มีกลุ่มอาการดาวน์มักจะมีรูปร่างลักษณะที่ต่างจากทารกปกติหลายประการ เช่น ผิวหนังมีการบวมน้ำได้มากกว่าทารกปกติ จมูกแบนกว่าทารกปกติ เลยมีความพยายามจะตรวจดูทารกในครรภ์ด้วยอัลตราซาวด์

 การตรวจเลือดมารดา
เพื่อตรวจหาความผิดปกติต่างๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น ผลเลือด โรคของการติดเชื้อ รวมถึงสารเคมีในเลือด เพื่อค้นหาความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ ดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์ สาเหตุที่ต้องทำการตรวจค้นหาความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ ดาวน์ซินโดรม เพราะทุกวันนี้ในประเทศไทย คลอดเด็กทารกประมาณ 8 แสนคนต่อปี มีเด็กดาวน์ซินโดรมเกิดใหม่เพิ่มขึ้น ปีละ ประมาณ 1,000 คน หรือ เฉลี่ยวันละ 3 คน ซึ่งใน 3 คนที่พบส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มมารดาอายุ 20 -34 ปี
 เพราะแม่กลุ่มนี้วางใจอายุน้อย มีความเสี่ยงต่ำ   ตั้งครรภ์แล้วไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง ส่งผลให้เด็กมีอาการดาวน์ซินโดรม
  ** การตรวจคัดกรองจึงแนะนำในกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี ที่มีความเสี่ยงต่ำ และไม่ต้องการเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของการเจาะตรวจน้ำคร่ำ หรือแม้กระทั้งในกลุ่มอายุมากกว่า 35 ปี ที่กลัวการเจาะน้ำคร่ำ สมารถเลี่ยงมาเจาะตรวจชนิดนี้ได้ **
 ชนิดการตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมในไตรมาสต่างๆ มีดังนี้
        การตรวจอัลตราซาวนด์ในไตรมาสที่ 1 (10- 13 สัปดาห์ ) เพื่อวัดความหนาแน่นของผิวหนังหรือถุงน้ำใต้คอทารกในครรภ์ เรียกว่า Nuchal translucency หรือ NT พบว่ามีความแม่นยำร้อยละ 60
        อัลตราซาวนด์ วัดความหนาแน่นของผิวหนัง หรือถุงน้ำใต้คอ ( NT ) ร่วมกับการตรวจสารเคมีในเลือดแม่ ( Beta- hCG and PAPP –A ) ในไตรมาสที่ 1 เรียกว่า Combined Test ให้ค่าความแม่นยำร้อยละ 85 
        การตรวจเลือดมารดา ในไตรมาสที่ 2 ( AFP . uE3 beta –hCG เรียกว่า TripleTest ให้ค่าความแม่นยำร้อยละ 71  
        นอกจากนี้ยังมีการตรวจชนิดอื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มความแม่นยำในการตรวจ แต่ค่าใช้จ่ายในการตรวจก็สูงขึ้น เช่น Quadruple test. Integrated test . Sequential test เป็นต้น

มีปัญหาสุขภาพขณะตั้งครรภ์ สอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติที่ศูนย์แม่และเด็ก ชั้น 2
โรงพยาบาลเอกชัย โทร 1715 หรือ 034 -471999 ต่อ 221, 222

ต้อหิน

ต้อหินชนิดเรื้อรัง

                 โรคของดวงตาที่ดูจากตาภายนอกเหมือนคนปกติทั่วไป มีสาเหตุจากเซลล์ และใยประสาทภายในลูกตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์และใยประสาทตาค่อยๆ ขาดเลือด และตายไปเรื่อยๆ จนผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว จะทราบก็ต่อเมื่อสายตาใกล้บอดเสียแล้ว นับวันจะพบผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประชากร  70 ล้านคนทั่วโลก กำลังป่วยด้วยโรคนี้ และ 10%ของผู้ป่วยโรคนี้ ตาบอกแล้วทั้งสองข้าง (ตาบอดตาใส) ศูนย์วิจัยโรคต้อหินทั่วโลกในขณะนี้กำลังขมักเขม่นทุ่มทุนมหาศาลทำการวิจัย เพื่อหาหนทางรักษาโรคต้อหิน ให้หายขาด ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคต้อหินเรื้อรัง ประมาณ 2% ของประชากร และผู้ป่วยเหล่านี้ประมาณ 1.4 แสนคนตาบอดหรือใกล้บอด

สาเหตุของโรคต้อหิน 

            เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตา(Demand) และปริมาณเลือดที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์ประสาทภายในลูกตา(Supply) ทำให้เซลล์ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ และค่อยๆทยอยเฉาตายลงไปเรื่อยๆ หากมีความดันลูกตาที่สูงกว่าปกติร่วมด้วยแม้เป็นเพียงสาเหตุรองก็ สามารถต้านการไหลเวียนเลือดที่จะเข้าในตาได้ ทำให้ภาวะขาดเลือดดังกล่าวเลวร้ายลงอีก ในปัจจุบันพอผู้ป่วยโรคต้อหินอายุน้อยลงเรื่อยๆ (จากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การเล่นเกมส์ และใช้อินเตอร์เน็ต) และเป็นกลุ่มของโรคต้อหินที่ไม่จำเป็นต้องมีค่าความดันลูกตาสูง


ลักษณะอาการ ของโรคต้อหิน

           มีความสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยรู้ตัวว่า กำลังเป็นหรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต้อหิน และนำผู้ป่วยให้ไปพบจักษุแพทย์ทำให้ได้รับการวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะเกิดตาบอดอย่างถาวร


อาการของโรคต้อหิน มีอะไรบ้าง

  1. ตาพร่า ตามัว เวียนศรีษะ คลื่นไส้อาเจียน เห็นภาพเบลอซ้อน หรือตามึดบอดชั่วขณะหนึ่ง
  2. เห็นจุดแสง ดำ-ขาว เต็มไปหมด หรือเห็นเป็นแสงระยิบระยับเมื่อมองไปกลางแดด
  3. ปวดในเบ้าตาลึกๆ และปวดศรีษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน หรือกปวดจี๊ดขึ้นสมอง
  4. ตรวจพบว่า มีสายตาสั้นขึ้นมาทันที และสายาขึ้นๆ ลงๆ ไม่แน่นอน
  5. ตาจะพร่า เมื่อมองวัตถุบนพื้นที่มีแสงจัด หรือบนพื้นที่มันวาว
  6. อ่านหนังสือไม่ทน ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือดูโทรทัศน์ได้ไม่นาน
  7. เห็นดวงไฟฟมีแสงเจิดจ้า มีรัศมีกระจาย เห็นเป็นฝ้าหมอก หรือวงสีรุ้งรอบดวงไฟ
  8. เห็นแสงวาาบคล้ายฟ้าแลบ หรือเห็นลำแสงวิ่งผ่านตา หรือเห็นเป็นเส้นหยักๆที่หางตา
  9. มีความลำบากในการสังเกตุพื้นที่ต่างระดับ เวลาก้าวเดิน หรือเวลลาขึ้นลงบันได
  10. เห็นสีจืดจางลง หรือผิดเพี้ยนไป  เห็นตัวหนังสือเลือนราง หรือแตตกพร่า
  11. การมองในที่มึดแย่ เห็นหน้าคนไม่ชัด และไม่กล้าขับรถในเวลากลางคืน
  12. เวลาขับรถลงอุโมงค์ลอดทางแยก หรือเดินเข้าที่ร่มในเวลาแดดจัดตาจะมึดบอดชั่วขณะ
  13. เวลามองผ่านกระจกหน้ารถในทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ ตาจะพร่าและสู้แสงไม่่ค่อยได้
  14. เวลากลางคืน มักจะเดินชนข้าวของเป็นประจำ ชอบที่จะเปิดไฟทุกดวงเท่าทีมี
  15. มองสิ่งที่เคลื่อนที่เร็วๆไม่ทัน ทำให้ไม่มั่นใจเวลาขับรถหรือเดินข้ามถนนคนเดียว
  16. ตาสู้แสงไม่ได้  ต้องใส่แว่นดำประจำ
  17. เห็นแสงมืดลงไปเรื่อยๆ หรือเห็นเป็นหมอกควันอยู่ทั่วๆ ไป
  18. ลานสายตาแคบเข้ามาเรื่อยๆ จนระยะท้ายเหมือนมองผ่านท่อกลม
การวินิจฉัย

          ด้วยการดูโครงสร้างของขั้วประสาทตาโดยการขยายม่านตาถ้าพบว่าขั้วประสาทตาฝ่อเป็นลักษณะรูปถ้วย ขนาดตั้งแต่ 50% ขึ้นไป ไม่ว่าความดันลูกตาจะปกติหรือ ผิดปกติก็ตาม ถือว่าเป็นโรคต้อหินเรื้อรัง

การรักษา

          ปัจจุบันการรักษาโรคต้อหินที่ใช้กันอยู่ทั่วไป มีอยู่ 3 วิธีคือ

  1. การใช้ยาลดความดันลูกตา
  2. การยิงเลเซอร์เพื่อลดความดันลูกตา
  3. การผ่าตัดเพื่อลดความดันลูกตา
แต่ทางโรงพยาบาลเอกชัยมีนวัตกรรมใหม่เป็นวิธีที่ 4 คือ การรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine)เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดเข้าไปในลูกตา

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คุณแม่ตั้งครรภ์ สำคัญที่สุขภาพ

     สิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ คือการดูแลสุขภาพ เพื่อลูกน้อยจะได้มีสุขภาพแข็งแรง และหากสามารถออกกำลังกายได้ในช่วงตั้งครรภ์ ถือว่าดีมาก เพราะจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น ไม่ปวดหลัง ไม่เป็นตะคริว นอนหลับสบาย แต่ทั้งนี้ก็จะมีกีฬาไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่คุณแม่สามารถเล่นได้ และต้องได้รับการยืนยันจารกแพทย์ และอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

                ระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่อาจต้องพบต้องพบกับอาการแทรกซ้อนหลายอย่าง คุณแม่จะมีวิธีรับมือและดูแลตัวเองให้บรรเทาลงจากอาการต่างๆ ได้อย่างไร ?

1. รู้สึกไม่สบายตอนเช้า
                อาการป่วยในยามเช้าเชื่อกันว่ามีความเกี่ยวพันกับระดับฮอร์โมน hCG ที่ผลิตออกมามากในช่วงตั้งครรภ์ เวลาที่คุณแม่ตื่นนอนตอนเช้า มักที่จะรู้สึกไม่ค่อยสบายได้นั้น บางครั้งมักมีสาเหตุมาจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งอาการที่จะเกิดขึ้นได้ทั้งช่วงตื่นนอนตอนเช้า และช่วงที่ท้องว่าง
การแก้ไข : ให้คุณหาแครกเกอร์ทานสัก 2 – 3ชิ้น แล้วดื่มน้ำตามเพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น การจิบน้ำขิงอุ่นๆ จะช่วยให้อาการไม่สบายดีขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะและคลื่นไส้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี

2. ปวดศีรษะ
                บ่อยครั้งที่คุณแม่จะพบว่าจะมีอาการปวดหัวอยู่บ่อยๆ ในตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ ซึ่งสาเหตุอาจมาจาก ความเครียด การลุกนั่งที่ผิดจังหวะ หรือในคุณแม่ที่เคยดื่มกาแฟพอท้องก็งดกาแฟ ก็ทำให้ปวดหัวได้เหมือนกัน
การแก้ไข : อาการเหล่านี้สามารถบรรเทาด้วยการหาเวลาผ่อนคลาย เช่น การออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ต่างจังหวัด ออกกำลังกายเบาๆ หรือการนั่งสมาธิก็ช่วยได้มากกลิ่นลาเวนเดอร์ เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสดชื่น รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย ลดอาการปวดศีรษะจากความเครียด

3. ปวดหลัง
                การแบกรับน้ำหนักครรภ์มากๆ จะมีผลต่อหลังของคุณแม่ตั้งครรภ์ ในไตรมาสที่สองเข้าสู่ไตรมาสที่สาม ขนาดของครรภ์ใหญ่ขึ้น ยิ่งทำให้ความสมดุลของร่างกายค่อนข้างทิ้งน้ำหนักไปที่หลัง รวมทั้งเท้าทั้งสองข้างด้วย การปวดหลังของคุณแม่จะทำให้ไม่สบายตัว
การแก้ไข : คุณแม่อาจหาหมอนใบกลางๆ มาหนุนไว้ที่บริเวณหลัง และหนุนรองระหว่างข้อพับขา ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังขณะนอนหลับ ทำให้นอนหลับได้สบายขึ้น น้ำมันลาเวนเดอร์สามารถใช้นวดบรรเทาอาการปวดหลังช่วงล่างได้เป็นอย่างดี
 4. เป็นตะคริวที่ขา
                คุณแม่ท้องมักเป็นตะคริวที่ขา สาเหตุมีได้หลายปัจจัย อาทิ การหมุนเวียนของโลหิต, ช่วงนอนตอนกลางคืนแล้วเท้าไม่อบอุ่น หรือเกิดจากการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณขา
การแก้ไข : สวมถุงเท้าเวลานอนตอนกลางคืน , ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน การทานอาหารที่มีปริมาณแมกนีเซียมและแคลเซียม อย่างผักใบเขียว ถั่วอบแห้ง จะช่วยลดอาการเป็นตะคริวลงได้
 5. เท้าบวม
                ช่วงตั้งครรภ์ร่างกายของคุณแม่จะมีของเหลวมากขึ้นตลอดเวลา 9 เดือน ของเหลวนี้จะไปสะสมที่ข้อเท้าและเท้า ทำให้การหมุนเวียนเลือดในขาลดลง เป็นผลให้เท้าบวม สามารถลดอาการบวมได้ง่ายๆ อย่างเวลาที่นั่งก็ให้หาเก้าอี้ตัวเล็กที่มีความสูงให้สามารถยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นแล้วให้ขนานกับหน้าท้อง รวมทั้งลดการทานอาหารเค็ม เพราะการทานเค็มก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดอาการบวม
การแก้ไข : คุณแม่สามารถบรรเทาอาการบวมได้ด้วยการนวดน้ำมันเจอราเนียม ที่บริเวณเท้าเบาๆ เป็นการช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลืองให้ทำงานได้ดีขึ้นลดอาการเท้าบวมลงได้

มีปัญหาสุขภาพขณะตั้งครรภ์ สอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติที่ศูนย์แม่และเด็ก ชั้น 2 
โรงพยาบาลเอกชัย โทร 1715 หรือ 034 -471999 ต่อ 221, 222

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติทำงานอย่างไร?

   อัลตร้าซาวด์ 4 มิติทำงานอย่างไร?  
                    ปัจจุบันเครื่องอัลตร้าซาวด์นั้นมีการทำงานที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เครื่องอัลตร้าซาวด์ในสมัยเริ่มแรก สามารถมองเห็นภาพทารกได้เป็นแบบ 2 มิติ คือ ภาพที่มีความกว้างและความยาว หรือภาพตัดขวางตามแนวของคลื่นเสียงที่ถูกส่งออกไป ซึ่งจะสามารถมองเห็นได้ทีละระนาบในแต่ละครั้ง แม้ว่าภาพที่จะได้จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก แต่ภาพที่เห็นจะดูไม่เหมือนทารก แต่ในเครื่องอัลตร้าซาวด์สมัยใหม่นั้นเครื่องจะเก็บสะสมปริมาตรของเสียงที่สะท้อนออกมาหากหัวตรวจในแบบดิจิตอล และแสดงภาพออกมาเป็นภาพ 3 มิติ ซึ่งมีความลึกของภาพ ทำให้ภาพของทารกดูเหมือนจริงมากยิ่งขึ้นและยิ่งไปกว่านั้นเครื่องตรวจ  อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ  ยังสามารถเก็บภาพ 3 มิติแต่ละภาพไว้แล้วนำมาแสดงผลเรียงต่อกันกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวเสมือนเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จึงเรียกภาพที่เห็นนี้ว่า Real time ด้วยเทคโนโลยี  อัลตร้าซาวด์ 4มิติ  นี้จึงช่วยให้เราสามารถศึกษาพฤติกรรมต่างๆ ของทารกในครรภ์ได้อย่างชัดเจน

ภาพเปรียบเทียบ

                                                                                                       2D                                                    3D
2-3-D ข้อดีของการตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ
  • ระยะเวลาในการตรวจครรภ์สั้นลง เนื่องจากสามารถมองเห็นร่างกายของทารกและอวัยวะต่างๆได้จากภาพที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
  • อวัยวะภายนอกของทารกในครรภ์สามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าการตรวจด้วยอัลตร้าซาวด์ 2 มิติ เช่น ใบหน้า แขน ขา นิ้วมือ และนิ้วเท้า
  • พฤติกรรมต่างๆของทารกในครรภ์สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งการตรวจด้วยอัลตร้าซาวด์ 2 มิติ อาจมองเห็นได้ยาก หรือไม่อาจมองเห็นได้ ยกตัวอย่างเช่น สามารถมองเห็นทารกกำลังหาว ดูดนิ้ว ยิ้ม กลืนน้ำคร่ำ กระพริบตา หรือขยับนิ้วมือ
  • ความผูกพันในครอบครัว ระหว่างพ่อแม่ลูก เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์
อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ตรวจอะไรได้บ้าง ?
การตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ แม้ว่าจะนำมาซึ่งความปลื้มปิติของคุณพ่อคุณแม่และสมาชิกในครอบครัว แต่ควรพึงระลึกว่าการอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ มิใช่แค่เป็นการตรวจเพื่อความบันเทิงสุขภาพของทารกในครรภ์จะได้รับความสนใจเป็นอันดับแรก และแพทย์จะทำการประเมินว่าทารกมีการเจริญเติบโต และมีพัฒนาการในครรภ์เหมาะสม ซึ่งรวมถึง
  • ตำแหน่งทารก สายสะดือ และปริมาณน้ำคร่ำที่อยู่ล้อมรอบทารก
  • โครงสร้างกะโหลกศีรษะและสมองทารก
  • หัวใจ และการไหลเวียนเลือดของทารก
  • กระดูกสันหลัง กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ และไตของทารก
  • แขน ขา มือ เท้า และนิ้ว
  • ใบหน้า และอวัยวะต่างๆ บนใบหน้าของทารก
  • เพศของทารก (หากต้องการให้แจ้งให้ทราบ)
  • อัตราการเจริญเติบโตของทารก ขนาดรอบศีรษะ ความยาวและน้ำหนัก
อายุครรภ์ที่เหมาะสมในการตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ
              ทุกช่วงของอายุครรภ์สามารถทำการตรวจด้วยอัลร้าซาวด์ 4 มิติได้ ในช่วงอายุครรภ์น้อยๆ จะช่วยให้สามารถมองเห็นภาพของทารกทั่วร่างกาย ในขณะที่การตรวจในช่วงที่อายุครรภ์มากจะช่วยให้มองเห็นรายละเอียดต่างๆ ของร่างกายของทารกได้มากขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาอวัยวะต่างๆ ของร่างกายไปมาก อย่างไรก็ตามสำหรับการตั้งครรภ์เดี่ยวช่วงอายุครรภ์ที่จะให้ภาพที่ดีที่สุดจะอยู่ในช่วงอายุครรภ์ 26-33 สัปดาห์ สำหรับการตั้งครรภ์แฝดช่วงอายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์

มีปัญหาสุขภาพขณะตั้งครรภ์ สอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติที่ศูนย์แม่และเด็ก ชั้น 2
ติดตามบทความ และโปรโมทชั่นดี ๆ ได้ที่
facebook : https://www.facebook.com/ekachai.hospital
website : http://www.ekachaihospital.com/
โรงพยาบาลเอกชัย โทร 1715 หรือ 034 -471999 ต่อ 221, 222

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

นอนกรน....อันตรายกว่าที่คิด


snoring 
อาการนอนกรนนั้น เกิดขึ้นขณะหลับแล้วมีสิ่งที่มาอุดกั้นทางเดินลมหายใจ ทำให้หายใจไม่สะดวก ตัวอย่างเช่น เมื่อเราหลับสนิทแล้วลิ้นตกไปด้านหลัง ทำให้ทางเดินลมถูกปิดกั้นเหลือช่องทางที่แคบลง ผลก็คือเกิดแรงสั่นสะเทือนเป็นเสียงกรนสนั่นหวั่นไหว สะเทือนใจ สะเทือนแก้วหูคนข้างเคียงจนนอนไม่หลับไปด้วย
การนอนกรน นอกจากจะถือได้ว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้คนข้างเคียงแล้ว มันยังมีผลกระทบอย่างสำคัญต่ออารมณ์และสุขภาพร่างกายของตัวคนนั้นเอง โดยเฉพาะถ้าหากเป็นผู้ที่นอนกรนเรื้อรัง ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ ของมูลนิธิการนอนหลับ (National Sleep Foundation) ในสหรัฐอเมริกา
สาเหตุและวิธีแก้ปัญหานอนกรน
โดยปกติแล้วทุกๆ คนมีสิทธิ์นอนกรนได้ แม้กระทั่งเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยงก็อาจจะนอนกรนได้ แต่การนอนกรนมีผลต่อทั้งปริมาณและคุณภาพในการนอนหลับของคุณ การนอนหลับไม่สนิทอาจทำให้เกิดความเมื่อยล้าในช่วงกลางวัน และอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ และที่สำคัญ ถ้าการกรนของคุณมีเสียงดังมากจนทำให้คนที่นอนข้างๆ ไม่สามารถนอนหลับได้ คุณก็อาจจะถูกตะเพิดให้ออกไปจากห้องนอนได้ ซึ่งการแยกห้องกันนอไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาการนอนกรนที่ถูกต้อง การนอนกรนสามารถรักษาได้หลายวิธี การค้นหาสาเหตุของอาการนอนกรนของคุณนอกจากจะช่วยให้ค้นพบวิธีรักษาที่ถูกต้องแล้วยังช่วยพัฒนาสุขภาพของคุณรวมไปถึงความสัมพันธ์กับคู่นอนและการนอนหลับของคุณด้วย 
201106080782280
วิธีแก้ปัญหานอนกรน

                การแก้ปัญหาโรคนอนกรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีผลต่อการนอนหลับพักผ่อนของคุณและเพื่อนร่วมเตียง จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากรู้สาเหตุที่แท้จริง การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องสามารถช่วยในการเลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ตาม คุณสามารถทดลองแก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยตัวเองก่อนเพื่อดูว่าสามารถป้องกันหรือลดอาการนอนกรนได้หรือไม่ โดยการปฏิบัติดังต่อไปนี้:
- นอนตะแคง
              - ยกหัวเตียงให้สูงขึ้น
              - งดเว้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาบางชนิด
              - ทำความสะอาดหลอดลม
              - ลดน้ำหนัก
ถ้าการทดลองทำตามวิธีการข้างบนไม่สามารถแก้อาการนอนกรนของคุณได้ ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากสาเหตุที่ซับซ้อน รวมถึงการแก้ปัญหาที่ต้องใช้วิธีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ต้องเป็นกังวลเพราะยังมีวิธีรักษาอีกหลายวิธี โดยเฉพาะถ้าคุณสามารถค้นพบสาเหตุการนอนกรนของคุณได้ จะช่วยให้คุณสามารถเลือกวิธีรักษาได้เหมาะสมยิ่งขึ้น
 sleep 2
สาเหตุของการนอนกรน

                ส่วนใหญ่ผู้ที่นอนกรนเป็นประจำมักจะมีเนื้อเยื่อในลำคอมากกว่าปกติ ซึ่งทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและเสียงดังมากกว่าปกติในขณะหายใจ รวมถึงตำแหน่งของลิ้นที่อาจจะขัดขวางทางเดินของอากาศในขณะหายใจ การตรวจสอบดูว่าคุณนอนกรนอย่างไรและเมื่อไหร่จะช่วยให้เข้าใจว่าคุณสามารถที่ควบคุมการนอนกรนของคุณได้ด้วยตัวคุณเองหรือไม่ได้ดียิ่งขึ้น การให้เพื่อนร่วมเตียงบันทึกอาการนอนกรนประจำวันของคุณจะช่วยให้ตัดสินใจใช้วิธีในการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เคล็ดลับ : การบอกอาการนอนกรนของคุณอาจนำไปสู่วิธีแก้ปัญหาได้


ลักษณะการนอนกรนของคุณ:
               - นอนกรนขณะปิดปาก: ตำแหน่งของลิ้นอาจเป็นสาเหตุที่สำคัญ
               - นอนกรนขณะเปิดปาก: คุณอาจมีเนื้อเยื่อในลำคอมากเกินไป
               - นอนหงาย: อาการนอนกรนอ่อนๆ อาจแก้ไขด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมในการเข้านอนหรือแม้กระทั่งไลฟ์สไตล์
               - นอนกรนในทุกท่า: อาการนอนกรนของคุณอาจเกิดจากปัญหาที่ซับซ้อนและการรักษาต้องใช้วิธีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

สาเหตุและความเสี่ยงจากโรคนอนกรน

              ปัญหาสุขภาพของผู้ที่มีคู่นอนที่นอนกรนโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการนอนไม่หลับ ซึ่งทำให้เกิดความเมื่อยล้าและอาการตื่นตัวของระบบประสาท ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ผู้ที่นอนกรนเป็นประจำหรือมีอายุอยู่ในช่วงวัยกลางคนที่เกิดจากการอุดตันในหลอดลม อาจต้องตื่นนอนหลายครั้งในแต่ละคืนเพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้น อย่างไรก็ตาม การนอนกรนไม่ได้เป็นสาเหตุของการหยุดหายใจฉับพลัน
  
การผ่าตัด
              เป็นการการผ่าตัดขยายขนาดหลอดลมโดยนำเอาเนื้อเยื่อส่วนที่เกินออก ด้วยเลเซอร์ ไมโครเวฟ หรือวิธีอื่นๆ เช่น อาจจะเป็นการผ่าตัดต่อมทอลซิล หรือเนื้อเยื่อที่ด้านหลังของคอหรือข้างในโพรงจมูก หรือการปรับแต่งขากรรไกรใหม่
              การผ่าตัดด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่ได้ผล เช่น การฝังพลาสติกขนาดสั้นกว่า 1 นิ้ว เข้าไปในเพดานปากด้วยเครื่องมือพิเศษคล้ายไซริง ซึ่งอาจมีความเจ็บปวดและผลข้างเคียงเล็กน้อย วิธีดังกล่าวจะช่วยให้เนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ทำให้เกิดการนอนกรนได้ ข้อเสียของการรักษาด้วยวิธีนี้คือมีค่าใช้จ่ายสูงและประกันสุขภาพไม่ครอบคลุมถึงการผ่าตัดรักษาอาการนอนกรน

เคล็ดลับการรักษาการนอนกรนด้วยตัวเอง
              - ลดน้ำหนัก: การลดน้ำหนักได้ผลดีสำหรับผู้ที่มีอาการนอนกรนอ่อนๆ การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยช่วยลดเนื้อเยื่อบริเวณด้านหลังของลำคอและอาการนอนกรนได้
              - นอนตะแคง: ถ้าคุณนอนหงายและมีการกรนเบาๆ การนอนตะแคงจะเป็นการช่วยรักษาอาการนอนกรนไปในตัว
              - หนุนหัวให้สูงขึ้น: พยายามยกศีรษะให้สูงด้วยการปรับหัวเตียงให้สูงขึ้น เพื่อให้อากาศไหลเวียนได้อย่างสะดวก หรือดันลิ้นและคางให้ยื่นไปข้างหน้า หรือใช้หมอนที่ออกแบพิเศษที่ทำให้กล้ามเนื้อที่คอไม่ย่น
              - งดเว้นการดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานยา และอาหารบางอย่าง: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาบางอย่าง เช่น ยานอนหลับ ยาแก้แพ้ ทำให้เกิดการผ่อนคลายของลิ้นและกล้ามเนื้อที่คอ ซึ่งอาจทำให้เกิดการนอนกรนได้ ผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันสูงและน้ำนมถั่วเหลืองทำให้เกิดเมือกหรือมีเสมหะในลำคอซึ่งอาจทำให้เกิดการนอนกรนได้เช่นกัน
             - ทำความสะอาดทางเดินหายใจ: การอุดตันของทางเดินอากาศทำให้หายใจได้ลำบากขึ้น และทำให้เกิดสุญญากาศในลำคอ ซึ่งเป็นสาเหตุของการนอนกรน การลดการอุดตันในจมูกช่วยให้สามารถหายใจได้สะดวกยิ่งขึ้นในขณะที่นอนหลับ ยาแก้แพ้ต่างๆ อาจช่วยรักษาหลายๆ โรคได้ แต่ทำให้กล้ามเนื้อที่คอมีการผ่อนคลายและเป็นสาเหตุของการนอนกรน


สอบถามรายละเอียด คลินิกการนอนหลับ  โรงพยาบาลเอกชัย  ได้ที่
โทร 1715 หรือ 034-417999